อัพเดทเนื้อหาให้คุณได้รู้ก่อนใคร...

กองอาสารักษาดินแดน

กองอาสารักษาดินแดนตั้งขึ้นในปี 2497 มีผลสืบเนื่องมาจากประเทศไทยได้รับการช่วยเหลือในด้านอาวุธจำหน่วยชีซับพลาย มอบให้กับหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนเป็นจำนวนมาก เมื่อหน่วยซีซับพลายได้สลายตัวจึงได้ก่อตั้งกองอาสารักษาดินแดน โดยออกพระราชบัญญัติอาสารักษาดินแดน ตั้งกองอาสารักษาดินแดนเป็นนิติบุคคล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย เหตุผลในการออกพระราชบัญญัติอาสารักษาดินแดนมีว่า “การป้องกันประเทศชาติในสถานการณ์ของสงครามในปัจจุบันเป็นหน้าที่ของประชาชนพลเมืองทุกคนที่จะต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน และจะต้องได้รับการศึกษาอบรมให้มีความรู้ในการที่จะป้องกันตนเองและประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมและมีหน่วยบังคับบัญชาเตรียมตั้งแต่เหตุการณ์ปกติ ในปี พ.ศ. 2497 ได้มีการตั้งกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดละ 2 กองร้อย เรียกว่ากองร้อยจังหวัด กองร้อยที่ 1 ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง นายอำเภอเมืองเป็นผู้บังคับกองร้อย กองร้อยที่ 2 ตั้งอยู่อำเภอนอกๆ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัดจะเห็นสมควร ต่อมาเมื่อมีการแทรกซึมบ่อนทำลายของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น ในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอขึ้น ในท้องที่ที่มีการแทรกซึมจากคอมมิวนิสต์ให้มีกองร้อยอำเภอขึ้นทุกอำเภอ รวมทั้งอำเภอชายแดนกัมพูชา ลาว พม่า จัดตั้งตามกำลังงบประมาณและตามความจำเป็น ทั้งนี้โดยการปรึกษากันของกองอาสารักษาดินแดน กรมยุทธการทหารบก กอ.ปค. และได้เชิญกองทัพภาคต่าง ๆ ทุกภาคทั่วราชอาณาจักรร่วมประชุมปรึกษาหารือว่าสมควรตั้งที่ใด ในปี 2506 กองอาสารักษาดินแดนจึงได้เข้ามาสังกัดอยู่ในกรมการปกครองมีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกอง บริหารราชการเกี่ยวกับกิจการกองอาสารักษาดินแดนทั่วราชอาณาจักร…

ยศ และเครื่องแบบผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน

ยศผู้บังคับบัญชา และเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน[1] ยศของผู้บังคับบัญชา และเจ้าหน้าที่ มี 7 ชั้นยศ 1. นายกองใหญ่ 2. นายกองเอก 3. นายกองโท 4. นายกองตรี 5. นายหมวดเอก 6. นายหมวดโท 7. นายหมวดตรี ยศของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน มี 4 ชั้นยศ 1. นายหมู่ใหญ่ 2. นายหมู่เอก 3. นายหมู่โท 4. นายหมู่ตรี สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ที่ไม่มีชั้นยศ มี 4 ชั้น 1. สมาชิกเอก 2. สมาชิกโท 3. สมาชิกตรี 4.

วินัยกองอาสารักษาดินแดน

วินัย คือการที่ต้องประพฤติหรือปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบและแบบธรรมเนียมของกองอาสารักษาดินแดน ผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เฉพาะในขณะที่รวมกันอยู่เป็นหมู่ หมวด กองร้อย หรือในเวลาปฏิบัติงานตามหน้าที่ ต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัด การกระทำผิดวินัยให้รวมถึงการกระทำต่อไปนี้ด้วย 1. ดื้อดึง ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ 2. ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย 3. ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของกองอาสารักษาดินแดน 4. ก่อให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีในกองอาสารักษาดินแดน 5. เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ 6. กล่าวเท็จต่อผู้บังคับบัญชา 7. ใช้กิริยาวาจาไม่สมควรหรือประพฤติไม่สมควร 8. ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือไม่ลงทัณฑ์ผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ 9. เสพสุรายาเมาจนเสียกิริยา หรือเสพยาเสพติดให้โทษ 10. กระทำด้วยประการใด ๆ เป็นเชิงบังคับผู้บังคับบัญชาเป็นทางทำให้เสียวินัยกองอาสารักษาดินแดน การลงทัณฑ์ การลงทัณฑ์ให้ลงได้เพียงสถานเดียว โดยก่อนที่จะลงทัณฑ์ผู้ใดให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นอย่างน้อย 3…

หมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง

หมู่บ้านอาสาพัฒนาและการป้องกันตนเองเป็นหมู่บ้านรูปแบบใหม่ตามโครงการอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง หรือชื่อย่อว่าโครงการ อพป. ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารงานตามระบบหมู่บ้าน โดยอาศัยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก ซึ่งมีภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัย ด้านการพัฒนาและการบริการเพื่อปูพื้นฐานการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาหมู่บ้าน ตามพระราชบัญญัติหมู่บ้านอาสาพัฒนา พ.ศ. 2518 เป็นการนำพลังที่ผนึกเข้าด้วยกันเสริมสร้างหมู่บ้านให้มั่งคงเข้มแข็งอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยง การทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน ให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เครื่องมือเพื่อให้บังเกิดผลสูงสุด และเพื่อให้ดำเนินการพัฒนาและป้องกันตนเอง อพป. ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย กอ.รมน. จึงได้เสนอโครงการ อพป. ต่อรัฐบาลในสมัยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2517 ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง พ.ศ. 2519 จึงเป็นหน้าที่ของกรมการปกครองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดย “หมู่บ้าน” คือ หมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง และ “คณะกรรมการกลาง” คือ คณะกรรมการกลางหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง การกำหนดหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง การบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง ให้ถือเอาหมู่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ การกำหนดให้หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งหรือตั้งแต่ 2 หมู่บ้านขึ้นไปเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง…

ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน

“หน่วยกำลังคุ้มครองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน” คือ หน่วยกำลังคุ้มครองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง และให้หมายความรวมถึงชุดรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน “ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน” คือ ราษฎรอาสาสมัครในพื้นที่ ที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน โดยได้รับการแต่งตั้งจากนายอำเภอ เรียกโดยย่อว่า “ชรบ.” การแต่งตั้ง ให้ผู้ใหญ่บ้านพิจารณาคัดเลือกราษฎร แล้วเสนอให้นายอำเภอแต่งตั้งเป็น ชรบ. และให้นายอำเภอเป็นผู้จัดทำทะเบียนประวัติของ ชรบ. โดยมีสิทธิใช้แต่งเครื่องแต่งกาย ประดับเครื่องแบบ และใช้อาวุธของทางราชการ การฝึกอบรม ชรบ. ปกติให้กรมการปกครองเป็นผู้จัดฝึกอบรม แต่ถ้ามีความจำเป็นให้จังหวัด หรืออำเภอจัดฝึกอบรมได้ ผู้ที่จะเข้าฝึกอบรมหลักสูตร ชรบ. ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 1. มีสัญชาติไทย 2. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้ 3. อยู่ในหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 3 เดือน 4. เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. เป็นผู้มีความประพฤติดี โครงสร้างและการจัดหน่วย 1. อำเภอให้มี…

การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม

มัสยิด หมายถึง สถานที่ซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจ โดยจะต้องมีละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นที่สอนศาสนาอิสลาม แบ่งได้ 2 ประเภทคือ 1. มัสยิดส่วนบุคคล 2. มัสยิดที่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีสภาพเป็นนิติบุคคล และมัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งแล้วให้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการอิสลามประจำมัสยิดภายใน 90 วัน นิยาม สัปปุรุษประจำมัสยิด หมายถึง มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด มีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด อิหม่าน หมายถึง ผู้นำศาสนาอิสลาม คอเต็บ หมายถึง ผู้แสดงธรรมประจำมัสยิด บิหลั่น หมายถึง ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนากิจ จุฬาราชมนตรี พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรี 1 คน เพื่อเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรี ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา คุณสมบัติของจุฬาราชมนตรี 1. เป็นมุสลิมผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 2. อายุไม่ต่ำกว่า 40…

การเนรเทศ

เนื่องด้วยกฎหมายเนรเทศ ร.ศ. 131 เป็นกฎหมายเก่าล้าสมัย จึงได้ตราพระราชบัญญัติการเนรเทศ พ.ศ. 2499 บังคับใช้เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการ การบังคับใช้ ใช้บังคับกับคนต่างด้าวเท่านั้น โดยมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ที่เคยได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ซึ่ง “คนต่างด้าว” หมายความว่า ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย บุคคลผู้มีอำนาจเนรเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจออกคำสั่งให้เนรเทศคนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรไทยได้ เพื่อความสงบเรียบร้อยและศรีธรรมอันดีของประชาชน และเมื่อได้ออกคำสั่งเนรเทศผู้ใดแล้วให้รัฐมนตรีหรือเจ้าพนักงานที่รัฐมนตรีมอบหมายสั่งให้จับกุมและควบคุมผู้นั้นได้ ในระหว่างการถูกควบคุมตัวนั้น รัฐมนตรีมีอำนาจผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ เพื่อรอการเนรเทศตามที่เห็นสมควรได้ และให้บุคคลนั้นมารายงานตน และระยะเวลาให้รายงานตนต้องไม่ห่างกันเกิน 6 เดือนต่อครั้ง กำหนดเวลาในการเนรเทศ ห้ามมิให้ส่งตัวผู้ถูกเนรเทศออกไปนอกราชอาณาจักรก่อนครบ 15 วัน นับแต่วันแจ้งคำสั่งเนรเทศ และผู้ถูกเนรเทศมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่ง หรือขอให้มิต้องส่งตัวไปนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งเนรเทศ ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งเนรเทศ สั่งผ่อนผันโดยประการอื่นใด หรือสั่งให้ส่งไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใด…

การทะเบียนคนต่างด้าว

ความเป็นมา เมื่อก่อนงานทะเบียนคนต่างด้าวเป็นงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ล่าสุดได้มีหนังสือ ที่ มท 0308.2/ว 15786 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ให้ถ่ายโอนงานทะเบียนคนต่างด้าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาให้กรมการปกครองรับผิดชอบ ตามมติคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2554 โดยกำหนดให้ถ่ายโอนฯ ในเดือน มีนาคม 2557 ความหมาย คนต่างด้าว หมายความว่า คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ ใบสำคัญประจำตัว หมายความว่า หนังสือประจำตัวของคนต่างด้าว และใบสำคัญประจำตัวมีกำหนดอายุดังนี้ 1. ชนิดที่หนึ่ง อายุ 1 ปี 2. ชนิดที่สอง อายุ 5 ปี ถ้าใบสำคัญประจำตัวหมดอายุ ชำรุด สูญหาย เปลี่ยนแปลงสัญชาติ อาชีพ ชื่อ สกุล…

การอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน

นับแต่ประเทศไทยได้มีระบบการสอบสวนคดีอาญามาแต่โบราณนั้น อำนาจการสอบสวนคดีอาญาได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในลักษณะต่างๆ กันคือ บางสมัยตำรวจเป็นผู้สอบสวนฝ่ายเดียว บางสมัยอำเภอสอบสวนฝ่ายเดียว และบางสมัยก็สอบสวนร่วมกัน ครั้งสุดท้ายอำนาจการสอบสวนเป็นของอำเภอฝ่ายเดียวตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี (ถึง พ.ศ. 2502 ในขณะนั้น) กระทรวงมหาดไทยได้ออกข้อบังคับ ที่ 8/2502 ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2502 หลักการสำคัญคือเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนจากนายอำเภอและปลัดอำเภอเป็นเจ้าหน้าที่ตำตรวจ ส่วนหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอเช่นเดิม ข้อบังคับนี้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2503 เป็นต้นไป การสอบสวนก็ดำเนินการไปฝ่ายเดียวตลอดมา เว้นแต่บางอำเภอเท่านั้นที่มีฝ่ายอำเภอเข้าไปสอบสวนอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงการเข้าไปสอบสวนเฉพาะเรื่องเท่านั้น จนถึง พ.ศ. 2506 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่การสอบสวนคดีอาญาอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โอนอำนาจหน้าที่การสอบสวนคดีอาญาจากอำเภอไปให้ตำรวจดำเนินการแต่ผู้เดียว ตามข้อบังคับที่ 1/2506 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2506 เรื่อง ระเบียบการสอบสวนคดีอาญาในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี…

การสอบสวนคดีอาญาและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

1.1 ความผิดอาญาที่พนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองสอบสวนได้[1] 1. กฎหมายว่าด้วยกองอาสารักษาดินแดน 2. กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า 3. กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร 4. กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร 5. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 6. กฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ 7. กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 8. กฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน 9. กฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ 10. กฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย 11. กฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน 12. กฎหมายว่าด้วยยศและเครื่องแบบผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน 13. กฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ 14. กฎหมายว่าด้วยโรงแรม 15. กฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ 16. กฎหมายว่าด้วยสุสานและฌาปนสถาน 1.2 หัวหน้าพนักงานสอบส่วน และพนักงานสอบสวน ปลัดอำเภอหัวหน้ากิ่งอำเภอ หรือนายอำเภอ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ถ้ามีเหตุอันควร ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่า ปลัดจังหวัด จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็ได้…

การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ

เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตมีจำนวนมาก บางฉบับไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลา กำหนดรายละเอียดของเอกสารและหลักฐานที่จำเป็นจะต้องใช้ยื่นเพื่อประกอบการพิจารณา รวมถึงไม่ได้มีการกำหนดขั้นตอนในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน จนทำให้เป็นการสร้างภาระและเป็นอุปสรรคต่อประชาชนในการยื่นขออนุญาตเพื่อดำเนินการต่างๆ เกินสมควร เช่น การขออนุญาตประกอบกิจการด้านการค้า การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกฯ ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 25/2557 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาแล้วลงมติเห็นสมควรประกาศใช้เป็นกฎหมายได้มีทั้งหมดจำนวน 18 มาตรา ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 22 มกราคม 2558 บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป) ยกเว้นในเรื่อง “การจัดทำคู่มือสำหรับประชาชน” กำหนดให้ผู้อนุญาต[1]จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ให้เสร็จภายใน 20 กรกฎาคม…

กฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้

พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ราชกิจจานุเบกษา 6 มีนาคม 2558 บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือตั้งแต่ 2 กันยายน 2558 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รักษาการ มีนิยามที่สำคัญดังนี้ “ผู้ทวงถามหนี้” หมายความว่า เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติธุระตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน และเจ้าหนี้อื่น ซึ่งมีสิทธิรับชำระหนี้อันเกิดจากการกระทำที่เป็นทางการค้าปกติหรือเป็นปกติธุระของเจ้าหนี้ ทั้งนี้ ไม่ว่าหนี้ดังกล่าวจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม และให้หมายความรวมถึง ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจช่วงในการทวงถามหนี้ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้และผู้รับมอบอำนาจจาก ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ด้วย “ผู้ให้สินเชื่อ” หมายความว่า 1. บุคคลซึ่งให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ 2. บุคคลซึ่งรับซื้อหรือรับโอนสินเชื่อต่อไปทุกทอด “สินเชื่อ” หมายความว่า สินเชื่อที่ให้แก่บุคคลธรรมดาโดยการให้กู้ยืมเงิน การให้บริการบัตรเครดิต การให้เช่าซื้อ การให้เช่าแบบลิสซิ่ง และสินเชื่อในรูปแบบอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน “ลูกหนี้”…

งานอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน

อาวุธปืนนั้นมีกฎหมายควบคุมการมีอาวุธปืนเอาไว้ในครอบครอง จะเห็นได้ว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการออกกฎให้แก่ผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการเมือง จ.ศ. 114 และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน รัตนโกสินทร์ศก 131 ได้มีการแก้ไขปรับเปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน บังคับใช้วันที่ 10 กันยายน 2490 โดยแรกเริ่มได้กำหนดว่าถ้าได้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุน มาขอรับใบอนุญาตภายใน 90 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ความหมาย 1. อาวุธปืน หมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิด หรือกำลังดันของแก๊สหรืออัดลม หรือเครื่องกลไกอย่างใด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงาน และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธนั้นๆ[1] 2. เครื่องกระสุนปืน หมายความรวมถึงกระสุนโดด กระสุนปราย กระสุนแตก ลูกระเบิด ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวด ทั้งชนิดที่มีหรือไม่มีกรดแก๊สฯ เครื่องสำหรับอัด หรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุน 3. วัตถุระเบิด คือ วัตถุที่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลัน…

งานการพนัน

ตามพระราชหัตถเลขาถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ 8 สิงหาคม ร.ศ.122 และพระราชปรารภเกี่ยวกับการเลิกหวยความดังต่อไปนี้ “ได้รับหนังสือที่ 168/5188 ลงวันที่ 4 เดือนนี้ ว่าได้สังเกตดูการเก็บเงินอากรการพนันในสองปีที่ล่วงมาแล้ว เก็บเงินขึ้นได้มากกว่าที่คาดหมาย เป็นที่สงสัยว่าจะมีคนเล่นการพนันมากขึ้น ฤาเจ้าพนักงานจัดการเก็บดีขึ้น เธอได้สอบสวนโดยถ้วนถี่ บัดนี้ได้ความว่าตามวิธีที่กรมสรรพากรจัดนั้น ราษฎรเล่นการพนันได้สะดวก เช่น อย่างมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพร เดิมก็มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ราษฎรก็พากันยากจน ขัดสนไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อให้เลิกการพนันโจรผู้ร้ายก็สงบเบาบางลง การค้าขายก็เจริญตั้งแต่อนุญาตให้เล่นการพนันได้อีก เกิดมีโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น ราษฎรไม่เป็นอันตั้งหน้าค้าขายทำมาหากิน ทำให้ความเจริญที่มีอยู่แล้วกลับถอยหลังไปอีก เธอขออนุญาตให้เลิกการพนันในมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพรเสีย และควรจำกัดการเล่นการพนันในมณฑลอื่นๆ ให้น้อยลงนั้นเป็นการชอบแล้วอนุญาตให้เลิก” ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้เปลี่ยนนโยบาย เกี่ยวกับการพนัน จากการแสวงหาผลประโยชน์มาเป็นการควบคุมและปราบปรามแทน ต่อมาจึงมี พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2473 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการพนันฉบับแรก และมีการยกเลิกและ ตราพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478…

งานควบคุมการเรี่ยไร

ความหมายของการเรี่ยไร “การเรี่ยไร” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การเก็บเงินโดยขอร้องให้ช่วยออกเงินตามใจสมัคร ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487 “การเรี่ยไร” หมายความตลอดถึง การซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการซึ่งมีการแสดงโดยตรง หรือปริยาย ถ้ามิใช่เป็นการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการธรรมดา แต่เพื่อรวบรวมทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมด หรือบางส่วนไปใช้ในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า 4 คน จึงจะครบองค์ประชุม และคณะกรรมการประกอบด้วย 1. ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน 2. ผู้แทนกระทรวงกลาโหม 1 คน 3. ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ 1 คน 4. ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข 1 คน…