ทะเบียนครอบครัว

พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478

ความหมาย

          คำว่า “จดทะเบียนครอบครัว”ไม่ปรากฏความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สำหรับความหมายในทางปฏิบัติของการปฏิบัติงานทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความหมายของทะเบียนครอบครัวไว้ว่า หมายถึง การจดทะเบียนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว ที่กฎหมายให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิ และกำหนดหน้าที่ของบุคคลได้[1]

ทำความเข้าใจ

          ในส่วนที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านนี้เป็นงานทะเบียนครอบครัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานทะเบียนทั่วไป ผู้รับผิดชอบคือส่วนการทะเบียนทั่วไป สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ คลอง 9 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยงานทะเบียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนการทะเบียนทั่วไปจะมีทั้งหมด 8 ประเภท ได้แก่ 1.ทะเบียนครอบครัว 2.ทะเบียนชื่อบุคคล 3.ทะเบียนพินัยกรรม 4.ทะเบียนนิติกรรม 5.ทะเบียนสัตว์พาหนะ 6.ทะเบียนเกาะ 7.ทะเบียนศาลเจ้า และ 8.ทะเบียนสุสานและฌาปนสถาน

          ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ทะเบียนครอบครัว ผมพยายามที่จะโฟกัสว่างานทะเบียนครอบครัวที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของงานทะเบียนทั่วไป และทะเบียนครอบครัวก็จะแบ่งออกไปอีกเป็น 7 ประเภท

ประเภทของงานทะเบียนครอบครัว

          งานทะเบียนครอบครัว คือ การจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว โดยมีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิให้ ไม่ว่าจะในฐานะสามีกับภรรยา หรือบิดามารดากับบุตร แบ่งออกเป็น 7 ประเภท คือ

          1. ทะเบียนการสมรส                         2. ทะเบียนการหย่า

          3. ทะเบียนการรับรองบุตร                   4. ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม

          5. ทะเบียนการเลิกรับบุตรบุญธรรม        6. ทะเบียนฐานะของภริยา

          7. ทะเบียนฐานะแห่งครอบครัว            

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

          1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (บังคับใช้ 27 กันยายน 2533)

          2. พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478

          3. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541

          4. พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522

          5. พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489
          6. กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478

ประวัติความเป็นมา

          พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 เกิดขึ้นพร้อมกับการมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว ซึ่งทั้งสองฉบับ มีผลใช้บังคับพร้อมกัน คือ วันที่ 1 ตุลาคม 2478 โดยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เป็นการกำหนดถึงนิติสัมพันธ์ในทางครอบครัวและผลของนิติสัมพันธ์ ดังนั้น พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดระบบทะเบียนครอบครัวของบุคคลในประเทศไทย บทบัญญัติของกฎหมายจึงเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนครอบครัวจดทะเบียนครอบครัว เช่น การจดทะเบียนสมรส การจดทะเบียนหย่า การจดทะเบียนรับรองบุตร  การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงมีสถานะเป็นกฎหมายมหาชน เพราะบทบัญญัติของกฎหมายนี้เป็นเรื่องของนิติสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐที่เป็นนายทะเบียนและเอกชน ซึ่งเป็นผู้ร้องขอให้รัฐรับรองนิติสัมพันธ์ในทางครอบครัวของตนโดยการจดแจ้งในทะเบียนของรัฐ

นายทะเบียน[2]

          1. ผู้อำนวยการกองทะเบียน หรือหัวหน้ากองทะเบียน กรมมหาดไทย เป็นนายทะเบียนกลาง (ปัจจุบันคือผู้อำนวยการส่วนการทะเบียนทั่วไป สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง)

          2. นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอและผู้อำนวยการเขต เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือเขต

          3. เจ้าพนักงานทูตหรือกงสุลสยามเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียน ณ ที่ทำการสถานทูตหรือสถานกงสุลสยามนั้น (ปัจจุบันคือเจ้าพนักงานทูตหรือกงสุล ประจำ ณ ที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ไทย)[3]

การจดทะเบียนกับการบันทึก

          “การจดทะเบียน” หมายความว่า การจดข้อความลงในทะเบียนเพื่อความสมบูรณ์ตามกฎหมาย

          “การบันทึก” หมายความว่า การจดข้อความลงในทะเบียนเพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์

รัฐมนตรีผู้รักษาการ

          รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่รักษาการและให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม

บุคคลที่จะเป็นพยานจดทะเบียนครอบครัวไม่ได้

          1. บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ

          2. บุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ

          3. บุคคลที่หูหนวก เป็นใบ้ หรือจักษุบอดทั้ง 2 ข้าง

1. ทะเบียนการสมรส

          “การสมรส” หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า “แต่งงาน” นั้นก็คือ การที่ชายกับหญิงยอมอยู่กินด้วยกันด้วยการ “จดทะเบียนสมรส” เป็นสามีภริยากันจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย เว้นแต่ชายหญิงที่สมรสกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478 โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันย่อมเป็นอันสมบูรณ์ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย โดยไม่ต้องมาจดทะเบียนสมรสกันใหม่อีก ปัจจุบันนั้น กำหนดว่า การสมรสต้องมีการจดทะเบียนสมรสจึงจะมี ผลตามกฎหมาย ดังนั้น ถ้าไม่มีการจดทะเบียนสมรส แม้จะมีการจัดงานพิธีสมรสใหญ่โตเพียงใด กฎหมายก็ไม่ถือว่าชายหญิงคู่นั้นได้ทำการสมรสกัน และการสมรสที่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ คือ

          1. เป็นไปตาม “เงื่อนไขของการสมรส” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5

          2. ต้องแสดงความยินยอมและได้รับความยินยอมตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

          3. ได้มีการจดทะเบียนตามกฎหมายแล้ว

1.1 เงื่อนไขของการสมรส

          เงื่อนไขแห่งการสมรสได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มี 6 ประการ คือ

          1. ชายและหญิง มีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว กรณีมีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้

          2. การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

          3. ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา  หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา จะทำการสมรสกันไม่ได้

          4. ผู้รับบุตรบุญธรรมจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้

          5. ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

          6. หญิงที่สามีตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน  เว้นแต่

                    6.1 คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น

                    6.2 สมรสกับคู่สมรสเดิม

                    6.3 มีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตรหรือปริญญาซึ่งเป็นผู้ประกอบการ รักษาโรคในสาขาเวชกรรมได้ตามกฎหมายว่ามิได้มีครรภ์  หรือ

                    6.4 มีคำสั่งของศาลให้สมรสได้

1.2 ต้องแสดงความยินยอมและได้รับความยินยอมตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

          การให้ความยินยอมให้ทำการสมรสทำได้ 3 วิธี ได้แก่ 1. ลงลายมือชื่อในทะเบียนขณะจดทะเบียนสมรส 2. ทำเป็นหนังสือแสดงความยินยอมโดยระบุชื่อผู้จะสมรสทั้งสองฝ่ายและลงลายมือชื่อของผู้ให้ความยินยอม และ 3. ถ้ามีเหตุจำเป็นจะให้ความยินยอมด้วยวาจาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ก็ได้ โดยการให้ความยินยอมนี้จะแบ่งได้ 2 กรณี คือ ชายกับหญิง และผู้เยาว์

          1. การสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อชายหญิงต้องยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงความยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและนายทะเบียนต้องบันทึกความยินยอมนั้นไว้

          2. ผู้เยาว์จะกระทำการสมรสได้  จะต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลดังต่อไปนี้

                    2.1 บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดาและมารดา

                    2.2 บิดาหรือมารดา ในกรณีที่มารดาหรือบิดาตาย หรือถูกถอนอำนาจปกครองหรือไม่อยู่ในสภาพ  หรือฐานะที่อาจให้ความยินยอม  หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจข้อความยินยอมจากมารดาหรือบิดาได้

                    2.3 ผู้รับบุตรบุญธรรมในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม

                    2.4 ผู้ปกครองในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวข้างต้นให้ความยินยอมได้  หรือมีแต่ถูกถอนอำนาจปกครอง

1.3 ได้มีการจดทะเบียนตามกฎหมายแล้ว

          ในการร้องขอให้จดทะเบียนสมรสนั้น คู่สมรสจะต้องทำเป็นหนังสือตามแบบที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541 จะทำตามแบบอื่นไม่ได้ ซึ่งการจดทะเบียนสมรสกระทำได้  7 วิธี ด้วยกัน คือ

          วิธีที่ 1 ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนในสำนักทะเบียน โดยยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือเขต ณ สำนักทะเบียนแห่งใดก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นสำนักทะเบียนที่คู่สมรสมีภูมิลำเนาอยู่ เมื่อนายทะเบียนตรวจสอบเห็นว่าถูกต้องแล้วก็จะรับจดทะเบียนให้ตามแบบ (คร.2) และออกใบสำคัญแสดงการสมรส (คร.3) โดยมอบให้คู่สมรสเก็บไว้คนละฉบับโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม

          วิธีที่ 2 จดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียน มีหลักเกณฑ์ดังนี้

          2.1 ยื่นคำร้องแจ้งความประสงค์ ณ สำนักทะเบียน

          2.2 ต้องเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของนายทะเบียน

          2.3 เสียค่าธรรมเนียมรายละ 200 บาท

          2.4 ผู้ร้องขอต้องจัดพาหนะรับส่งหรือจ่ายค่าพาหนะให้กับนายทะเบียนตามสมควร

          วิธีที่ 3 จดทะเบียนสมรส ณ สถานที่สมรสซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้มีขึ้น ให้นายทะเบียนเรียกเก็บค่าธรรมเนียม รายละ 20 บาท (เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 ได้มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 217/2548 มอบอำนาจผู้พิจารณาอนุมัติ โดยในเขตจังหวัดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร)

          วิธีที่ 4 จดทะเบียนนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติให้ทำได้ ให้นายทะเบียนเรียกเก็บค่าธรรมเนียม รายละ 1 บาท (หลักปฏิบัติจะมีสมุดทะเบียนให้นายทะเบียนเขียนคำว่า “ท้องที่ห่างไกล” และให้พยัญชนะตัว ไว้หน้าเลขทะเบียน)

          วิธีที่ 5 ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อกำนัน เป็นวิธีหนึ่งที่ทางราชการประสงค์จะอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในตำบลที่ห่างไกลกับที่ตั้งที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจะประกาศโดยอนุมัติขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยอมให้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อกำนันท้องที่ที่ผู้ร้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีถิ่นที่อยู่เดียวกันกับกำนันท้องที่นั้นได้  ทั้งนี้คำร้องจะต้องมีลายมือชื่อของผู้แจ้งและพยาน 2 คน ลงชื่อต่อหน้ากำนัน ซึ่งพยานคนหนึ่งต้องเป็น

          1. เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง มีตำแหน่งตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นไปหรือนายตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตำรวจตรีขึ้นไป หรือหัวหน้าสถานีตำรวจ

          2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

          3. ทนายความ

          วิธีที่ 6 การแสดงวาจาหรือกิริยาต่อหน้าพยาน มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ ชายหรือหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย ซึ่งอาจจะเป็นภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออยู่ในภาวะการรบหรือสงคราม ทำให้ไม่อาจจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนได้ ถ้าชายและหญิงได้แสดงเจตนาจะสมรสกันต่อหน้าพยานซึ่งบรรลุนิติภาวะ อย่างน้อย 2 คน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตาย ให้พยานพร้อมฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ (ถ้ามี) ไปแสดงเจตนาสมรสต่อ
นายทะเบียนโดยไม่ชักช้า

          วิธีที่ 7 จดทะเบียนสมรส ณ สถานเอกอัครราชทูตฯ หรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ จะกระทำได้เฉพาะในกรณีการจดทะเบียนระหว่างบุคคลสัญชาติไทย หรือระหว่างบุคคลสัญชาติไทยกับต่างชาติเท่านั้น และถือเป็นการจดทะเบียนตามกฎหมายไทย โดยนำหลักฐานประกอบคำร้องการขอจดทะเบียนสมรส ดังนี้

          1. คำร้องขอจดทะเบียนสมรส และ บันทึกถ้อยคำการจดทะเบียนสมรส ซึ่งกรอกรายละเอียดและลงชื่อโดยคู่สมรสแล้ว

          2. หนังสือเดินทางที่ไม่หมดอายุของคู่สมรส

          3. บัตรประชาชน หรือ สำเนาทะเบียนบ้านของคู่สมรส

          4. ในกรณีที่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนและหย่าแล้ว ต้องมีสำเนาทะเบียนหย่ามาแสดงด้วย

          4. ในวันจดทะเบียนสมรส กรุณานำพยานไปด้วย 2 คน พร้อมหนังสือเดินทาง/บัตรประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้านของพยาน

1.4 ค่าธรรมเนียม

          1. การจดทะเบียนสมรสในสำนักทะเบียน ไม่เก็บค่าธรรมเนียม

          2. การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียน รายละ 200 บาท (โดยผู้ร้องต้องจัดพาหนะรับส่งด้วย)

          3. การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล เสียค่าธรรมเนียม 1 บาท

2. ทะเบียนการหย่า

2.1 การสิ้นสุดการสมรสมี 3 กรณี ได้แก่

          1. การสิ้นสุดลงด้วยความตาย

          2. การหย่า[4]

          3. ศาลพิพากษาให้เพิกถอน (รวมถึงการสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดเมื่อศาลพิพากษา
เพิกถอน)

          ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของอำเภอนั้นจะมีอยู่เพียงการหย่าหรือการจดทะเบียนการหย่าเท่านั้น เพราะในส่วนของการสิ้นสุดลงด้วยความตายก็เป็นไปตามผลของกฎหมายอยู่แล้ว หรือศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรส ก็เป็นอำนาจศาลที่จะดำเนินการ

2.2 การหย่าสามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ

          1. การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล

          การหย่าโดยวิธีนี้เป็นเรื่องของสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถจะทำการตกลงหย่ากันได้โดยความยินยอม จึงต้องฟ้องหย่าต่อศาลโดยมีเหตุแห่งการหย่าตามมาตรา 1516 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5

          2. การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย

          การหย่าโดยความยินยอม ได้แก่ การที่สามีภรรยาตกลงจะทำการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน โดยต้องทำเป็นหนังสือซึ่งเรียกว่าหนังสือสัญญาการหย่าและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย 2 คน (มาตรา 1514  วรรคสอง) และร้องขอต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียน  ถ้าไม่มีหนังสือสัญญาการหย่ามาแสดงต่อนายทะเบียน ห้ามนายทะเบียนจดทะเบียนหย่าให้ ในหนังสือสัญญาการหย่าจะต้องแสดงข้อตกลงการหย่าให้ชัดแจ้ง เช่น  ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร การใช้อำนาจปกครองบุตร และการแบ่งสินสมรส โดยการหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

                    2.1 การจดทะเบียนหย่าในสำนักทะเบียน

                    คู่สมรสที่ประสงค์จะหย่าขาดจากกัน สามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียนหย่า (คร.1) พร้อมหนังสือสัญญาการหย่าต่อนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักงานเขตรวมทั้งสำนักทะเบียนสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ เมื่อนายทะเบียนตรวจสอบเห็นว่าถูกต้องก็จะรับจดทะเบียนให้ (คร.6) และออกใบสำคัญการหย่า (คร.7) ให้คู่หย่าฝ่ายละ 1 ฉบับ

                    2.2 การจดทะเบียนหย่าต่างสำนักทะเบียน[5]

                    เมื่อมีผู้ร้องขอจดทะเบียนการหย่าโดยความยินยอมแต่อ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่สามารถมายื่นคำร้อง ณ สำนักทะเบียนอำเภอแห่งเดียวกันได้ให้นายทะเบียนชี้แจงผลของการจดทะเบียนการหย่าให้ผู้ร้องทราบ โดยต่างฝ่ายต่างไปยื่นคำร้องขอหย่าพร้อมหนังสือสัญญาการหย่าต่อนายทะเบียนคนละสำนักทะเบียน คนละเวลา โดยต้องทำการตกลงกันว่า คู่หย่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนหย่าก่อนที่สำนักทะเบียนใด และจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้ยื่นคำร้องทีหลัง ณ สำนักทะเบียนใด (สำนักทะเบียนแห่งที่สอง) โดยให้สำนักทะเบียนแห่งแรก และสำนักทะเบียนแห่งที่สอง ดำเนินการดังนี้ สำหรับสำนักทะเบียนแห่งแรก ให้ตรวจสอบคำร้อง หลักฐานของผู้ร้อง หลักฐานการจดทะเบียนสมรสและหนังสือสัญญาหย่า พร้อมสอบปากคำผู้ร้องแล้วลงรายการของผู้ร้องในทะเบียนการหย่าซึ่งแยกใช้ต่างหาก ส่วนรายการของฝ่ายที่มิได้มา ให้ลงเฉพาะรายการที่ทราบ และให้ผู้ร้องและพยานลงลายมือชื่อไว้ในทะเบียนการหย่า (คร.6) เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้
นายทะเบียนลงลายมือชื่อในทะเบียนการหย่า พร้อมกับระบุข้อความไว้ที่ตอนบนด้านขวาของหน้าทะเบียนว่า “ต่างสำนักทะเบียน” แล้วส่งเอกสารสำเนาคำร้อง สำเนาทะเบียนการหย่า สำเนาหลักฐานของผู้ร้อง สำเนาหลักฐานการจดทะเบียนสมรส และสำเนาหนังสือสัญญาหย่า ไปยังสำนักทะเบียนแห่งที่สอง เมื่อเอกสารไปถึง สำนักทะเบียนแห่งที่สอง ให้แจ้งฝ่ายที่ยังมิได้ลงลายมือชื่อทราบ เพื่อยื่นคำร้องขอจดทะเบียนการหย่า แล้วลงรายการของผู้ร้องทั้งสองฝ่ายในทะเบียน
การหย่าและใบสำคัญการหย่าซึ่งแยกใช้ต่างหาก และให้ผู้ร้องและพยานลงลายมือชื่อไว้ในทะเบียนการหย่า (คร.6) เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้นายทะเบียนลงลายมือชื่อในทะเบียนการหย่า พร้อมกับระบุข้อความไว้ที่ตอนบนด้านขวาของหน้าทะเบียนว่า “ต่างสำนักทะเบียน” พร้อมกับมอบใบสำคัญการหย่า ให้ผู้ร้องหนึ่งฉบับ และส่งเอกสารใบสำคัญการหย่า (คร.7) อีกหนึ่งฉบับ และสำเนาทะเบียนการหย่าไปยังสำนักทะเบียนแห่งแรก เพื่อดำเนินการต่อไป[6]

2.3 ค่าธรรมเนียม

          1. การจดทะเบียนหย่าไม่เก็บค่าธรรมเนียม เว้นแต่ค่าป่วยการพยานที่นายทะเบียนหาให้ 2.50 บาท

          2. การคัดและรับรองสำเนาทะเบียนหย่า ฉบับละ 10 บาท

3. ทะเบียนการรับรองบุตร

3.1 ทำความเข้าใจ

          การจดทะเบียนรับรองบุตร หรือ จะเรียกว่าเป็นวิธีที่ทำให้บุตรที่เกิดจากบิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ส่วนมารดานั้นไม่ต้องจดทะเบียนรับรองบุตรเพราะเด็กที่เกิดจากมารดาที่ไม่ได้สมรสกับบิดานั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาอยู่แล้วตามมาตรา 1546 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นสรุปได้ง่ายๆ ว่าถ้ากล่าวถึงการจดทะเบียนรับรองบุตรนั้นเป็นการทำให้บุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดา จากบุตรที่เกิดมาโดยบิดาและมารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน

          เนื้อหาในส่วนนี้จะเกี่ยวกับการไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาเท่านั้น จะไม่รวมถึง “การฟ้องขอให้รับรองเด็กเป็นบุตร” ตามมาตรา 1555 ถึง 1558 เพราะเป็นเรื่องของบุตรฟ้องบิดาเพราะเหตุที่ บิดาไม่ยอมจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร หรือบิดาไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับหญิงมารดาทั้งที่มีบุตรด้วยกัน

3.2 วิธีทำให้บุตรเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา[7]

          ตามที่ได้ทำความเข้าใจไปแล้วว่าบุตรที่เกิดจากบิดาและมารดามิได้จดทะเบียนสมรสกันนั้นทำให้เป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา วิธีที่จะทำให้บุตรเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดานั้นมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่

          1. บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง

          2. บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร

          3. ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

3.3 การเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะมีผลเมื่อใด

          ถ้าบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด[8]

3.4 ผลของการจดทะเบียนรับรองบุตร

          ย่อมทำให้เด็กนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดามีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่อกันโดยสมบูรณ์ เช่น ต้องมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน เป็นทายาทกัน มีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา ตลอดจนมีสิทธิได้รับมรดกของบิดามารดา เป็นต้น

          เมื่อได้จดทะเบียนเด็กเป็นบุตรแล้วจะถอนมิได้[9] โดยอาจารย์จิตติ ติงศภัทริย์ ได้วางหลักไว้ว่า หากผู้มิใช่บิดามาขอให้จดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรแล้วถ้าไม่ขอให้ศาลถอนการจดทะเบียนในอายุความก็เป็นอันหมดสิทธิ เพราะถ้ายอมให้อ้างว่าเด็กมิใช่บุตรของชายผู้ขอจดทะเบียนรับเด็กนั้นได้โดยไม่จำกัดในเรื่องอายุความแล้ว สถานะความเป็นบุตรของเด็กก็จะหาความแน่นอนไม่ได้ ซึ่งขัดกับหลักทั่วไปที่กฎหมายพยายามให้สถานะของบุคคลเป็นสิ่งที่มั่นคงและแน่นอน จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่จะมีสิทธิขอให้จดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรนั้นต้องเป็นบิดาของเด็กเท่านั้น ถ้าไม่ใช่แล้ว
นายทะเบียนจดจัดทะเบียนให้ไม่ได้ และหากจดทะเบียนไปทั้งที่มิใช่เป็นบิดาของเด็ก ก็ย่อมขอให้ศาลถอนการจดทะเบียนได้ อย่างไรก็ตามแม้ยังไม่ถอนการจดทะเบียนก็ไม่ทำให้เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ขอจดทะเบียนรับรองบุตร

3.5 วิธีการจดทะเบียนรับรองบุตร

          การจดทะเบียนรับรองบุตรมี 3 วิธี คือ

          วิธีที่ 1 การจดทะเบียนรับรองบุตรในสำนักทะเบียน

          วิธีที่ 2 จดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียน และ วิธีที่ 3 จดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนท้องที่ห่างไกล

          1. การจดทะเบียนรับรองบุตรในสำนักทะเบียน (มาตรา 1548)

          1.1 บิดายื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร ต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียน อำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักงานเขต โดยนำมารดาเด็กและเด็กมาให้ความยินยอมในการจดทะเบียน

          1.2 กรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อนายทะเบียนให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้าน หรือไม่ให้ความยินยอมภายใน 60 วัน นับแต่การแจ้งนั้นถึงเด็กและมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็น 180 วัน

          1.3 ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่า  ผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดาหรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนรับรองบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล

เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้

          2. จดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียน กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 กำหนดไว้ว่าในกรณีที่มีผู้ร้องขอ นายทะเบียนจะออกไปจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนก็ได้ โดยเก็บค่าธรรมเนียมรายละ 200 บาท และให้ผู้ขอจัดพาหนะให้ ถ้าผู้ขอไม่จัดพาหนะให้ผู้ขอต้องชดใช้ค่าพาหนะให้แก่นายทะเบียนตามสมควร

          3. จดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนท้องที่ห่างไกล กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 กำหนดการจดทะเบียนวิธีนี้ไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนส่วนรวม ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด อนุมัติให้ทำได้ ให้นายทะเบียนเรียกเก็บค่าธรรมเนียม รายละ 1 บาท การรับจดทะเบียนวิธีนี้ อำเภอหรือกิ่งอำเภอจะจัดให้มีขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน พร้อมกับการจัดหน่วยบริการอำเภอเคลื่อนที่ก็ได้

3.6 การขอให้ศาลถอนการจดทะเบียน

          เมื่อบิดาจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรแล้ว บิดาหรือมารดาก็ดี จะขอให้ถอนการจดทะเบียนนั้นไม่ได้ (มาตรา 1559) แม้แต่บุคคลอื่นก็ขอให้ถอนไม่ได้ ตามที่ได้ศึกษามาแล้ว แต่หากปรากฏว่าผู้ขอจดทะเบียนนั้นมิใช่บิดาของเด็กแล้ว ผู้มีส่วนได้เสียย่อมขอถอนการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 1554 “ผู้มีส่วนได้เสียจะขอให้ศาลถอนการจดทะเบียนเด็กรับเป็นบุตร เพราะเหตุว่าผู้ขอให้จดทะเบียนนั้นมิใช่บิดาก็ได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้การจดทะเบียนนั้น อนึ่ง ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันจดทะเบียน”

3.7 ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนรับรองบุตร[10]

          1. จดทะเบียนนอกสำนักทะเบียนโดยมีผู้ขอ รายละ 200 บาท

          2. จดทะเบียนนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติให้ทำได้ รายละ 1 บาท

4. ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม

          บุตรบุญธรรม ได้แก่การที่เอาบุตรของคนอื่นมาเลี้ยงดู เหมือนอย่างบุตรของตัวเอง ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องจดทะเบียน ต่อมาได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2478 กับพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 ได้วางหลักและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัวขึ้น บุตรบุญธรรมจึงอยู่ในประเภทหนึ่งของการจดทะเบียนครอบครัว

4.1 เงื่อนไขในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม

          1. ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ และต้องมีอายุแก่กว่าบุตรบุญธรรม 15 ปี

          2. บุตรบุญธรรมมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีต้องให้ความยินยอมด้วย

          3. ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมถ้ามี คู่สมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส

          4. บุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอม

                    4.1 จากบิดาและมารดา กรณีมีทั้งบิดาและมารดา

                    4.2 บิดาหรือมารดา กรณีที่บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งตาย

                    4.3 กรณีบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งถูกถอนอำนาจปกครองต้องได้รับความยินยอมของบิดาหรือมารดาซึ่งยังมีอำนาจปกครอง

                    4.4 กรณีไม่มีผู้มีอำนาจให้ความยินยอม หรือมีแต่บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนไม่สามารถแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ หรือไม่ให้ความยินยอมและการไม่ให้ความยินยอมนั้นปราศจากเหตุผลอันสมควรและเป็นปฏิปักษ์ต่อสุขภาพ ความเจริญหรือสวัสดิภาพของผู้เยาว์ มารดาหรือบิดาหรือผู้ประสงค์จะขอรับบุตรบุญธรรมหรืออัยการจะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งอนุญาตแทนการให้ความยินยอมก็ได้

                    4.5 กรณีผู้เยาว์ถูกทอดทิ้งและอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์เด็ก ให้สถานสงเคราะห์เด็กเป็นผู้ให้ความยินยอม

                    4.6 ผู้จะรับบุตรบุญธรรมหรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสอยู่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน ในกรณีที่คู่สมรสไม่อาจให้ความยินยอมได้หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และหาตัวไม่พบเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต้องร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งอนุญาตแทนการให้ความยินยอมของคู่สมรสนั้น

                    4.7 กรณีคู่สมรสฝ่ายหนึ่งจะจดทะเบียนรับผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตนด้วย จะต้องได้รับความยินยอมของคู่สมรสซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย

          6. ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมต้องผ่านการทดลองเลี้ยงดูไม่น้อยกว่า 6 เดือน (พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 มาตรา 23 วรรคสอง)

          7. ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่แล้วจะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกในขณะเดียวกันไม่ได้ เว้นแต่เป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม

          8. การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศที่เป็นภาคีให้ถือว่าเป็นการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 ต้องจดทะเบียนภายใน 6 เดือน แต่คณะกรรมการอาจพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปอีกไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันที่พฤติการณ์พิเศษนั้นได้สิ้นสุดลง[11]

4.2 สถานที่ยื่นคำร้อง

          1. สำหรับในเขต กทม. หรือชาวต่างประเทศที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย ให้ยื่นคำร้อง ณ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กรมพัฒนาและสวัสดิการสังคม (ประชาสงเคราะห์เดิม)

          2. ต่างจังหวัดยื่น ที่ว่าการอำเภอ พร้อมหนังสือยินยอมจากบุคคลผู้มีอำนาจยินยอม

4.3 ผลที่เกิดจากการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม

          1. บุตรบุญธรรมมีสิทธิ์ใช้ชื่อสกุล และมีสิทธิ์รับมรดกของ ผู้รับบุตรบุญธรรม แต่ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิ์รับมรดกของบุตรบุญธรรม

          2. ผู้รับบุตรบุญธรรมมีอำนาจปกครอง ให้ความอุปการะเลี้ยงดูและถือว่าบุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานของผู้รับบุตรบุญธรรม เสมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนับแต่วันที่จดทะเบียน

          3. บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองแต่วันจดทะเบียนแต่ไม่ขาดจากการเป็นบิดามารดา และบุตรบุญธรรมไม่สูญสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่กำเนิดมา

5. ทะเบียนการเลิกรับบุตรบุญธรรม

          การเลิกรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมาย และผลของการเลิกรับบุตรบุญธรรมจะทำให้บิดามารดาโดยกำเนิดกลับมีอำนาจปกครองบุตรเหมือนเดิม โดยการเลิกบุตรบุญธรรมทำได้ 2 วิธี คือ

                    1. โดยความยินยอม (รวมถึงผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกันกับบุตรบุญธรรมด้วย)

                    2. โดยคำพิพากษาของศาล

5.1 การเลิกรับบุตรบุญธรรมโดยความยินยอม มีเงื่อนไขดังนี้

          1. บุตรบุญธรรมบรรลุนิติภาวะแล้ว จะเลิกโดยความตกลงกันระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมเมื่อใดก็ได้ โดยยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขต

          2. บุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของบุตรบุญธรรมก่อน  ผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรม ต้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขต กรณีผู้เป็นบุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ การเลิกรับบุตรบุญธรรมจะต้องได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดาของบุตรบุญธรรมก่อน หรือได้รับความยินยอมจากบิดาหรือมารดา เมื่อกรณีบิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย หรือในกรณีที่บุตรบุญธรรมมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากบุตรบุญธรรมผู้นั้นด้วย

5.2 การเลิกรับบุตรบุญธรรมโดยคำพิพากษาของศาล มีเงื่อนไขดังนี้

          การเลิกรับบุตรบุญธรรมโดยคำพิพากษาของศาลนั้นต้องมีการฟ้องเลิก และต้องอยู่ภายในอายุความ หากพ้นกำหนดเวลาต่อไปนี้ห้ามมิให้ฟ้องเลิก คือ เมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้หรือควรได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เลิกการนั้นหรือเมื่อพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่เหตุนั้นเกิดขึ้น ในกรณีดังต่อไปนี้

          1. ฝ่ายหนึ่งทำการชั่วร้ายไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

          2. ฝ่ายหนึ่งหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่งอันเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้ ถ้าบุตรบุญธรรมกระทำการดังกล่าวต่อคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม ให้ผู้รับบุตรบุญธรรมฟ้องเลิกได้

          3. ฝ่ายหนึ่งกระทำการประทุษร้ายอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีหรือคู่สมรสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจอย่างร้ายแรงและการกระทำนั้นเป็นความผิดที่มีโทษอาญา อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

          4. ฝ่ายหนึ่งไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องเลิกได้

          5. ฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน 1 ปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องเลิกได้

          6. ฝ่ายหนึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเกิน 3 ปี เว้นแต่ความผิดที่กระทำโดยประมาท อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

          7. ผู้รับบุตรบุญธรรมทำผิดหน้าที่บิดามารดา และการกระทำนั้นเป็นการละเมิด

          8. ผู้รับบุตรบุญธรรมผู้ใดถูกถอนอำนาจปกครองบางส่วนหรือทั้งหมดและเหตุที่ถูกถอนอำนาจปกครองนั้นมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมต่อไป บุตรบุญธรรมฟ้องเลิกได้

6. ทะเบียนฐานะของภริยา[12]

          การบันทึกฐานะของภริยานั้น เป็นผลสืบเนื่องจากกฎหมายสมัยก่อน (กฎหมายลักษณะผัวเมีย) มิได้บังคับให้สามีภรรยาต้องจดทะเบียนสมรสกัน และชายอาจมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเดียวกันได้หลายคน ต่อมาเมื่อมีการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว ชายหญิงจะเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องจดทะเบียนสมรสกัน (มาตรา 1457) และกำหนดให้ชายมีภรรยา หรือหญิงมีสามีได้เพียงคนเดียว เพื่อความสมบูรณ์ของการสมรส ฐานะของภริยาซึ่งมีอยู่ก่อนการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงกำหนดให้มีการบันทึกขึ้น เพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์ฐานะของภรรยาว่าผู้ใดเป็นภรรยาหลวงหรือภรรยาน้อยเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการโต้แย้งเกิดขึ้น เช่น ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการรับมรดก

          หลักเกณฑ์การบันทึกฐานะของภรรยา มีดังนี้

          1. บุคคลที่จะร้องขอให้บันทึกได้ต้องเป็นสามีภรรยา และสมรสกันก่อน

การใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 คือก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478

          2. การบันทึกนั้น จะบันทึกได้ 2 ฐานะ เท่านั้น คือ

                    – เอกภริยาหรือภริยาหลวง บันทึกได้คนเดียว

                    – อนุภริยาหรือภริยาน้อย บันทึกได้หลายคน

          3. รับบันทึกเฉพาะสามีภรรยาที่มาร้องขอให้บันทึก ส่วนภรรยาอื่นที่ไม่ได้มาร้องขอจะไม่บันทึกให้

          ส่วนการจดบันทึกแสดงฐานะของภริยาตามที่กล่าวแล้วข้างต้น เป็นหน้าที่ของชายผู้เป็นสามีจะต้องนำภริยาของตนคนเดียวหรือหลายคนก็ตามไปยื่นคำร้องขอบันทึกฐานะภริยาต่อ
นายทะเบียนอำเภอแห่งท้องที่หนึ่งท้องที่ใดก็ได้ สุดแต่ความสะดวกโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นสำนักทะเบียนอำเภอที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ โดยระบุในคำร้องให้ชัดเจนว่าจะให้ภริยาคนใดเป็นเอกภริยาหรือภริยาหลวง คนใดเป็นอนุภริยาหรือภริยาน้อย เมื่อไม่มีการโต้แย้งของภริยาและนายทะเบียนอำเภอได้ตรวจพิจารณาเห็นเป็นการถูกต้องแล้ว สำหรับเอกภริยาหรือภริยาหลวงจดได้เพียงคนเดียว ส่วนภริยาคนอื่นๆ ต้องจดเป็นอนุภริยาหรือภริยาน้อย การจดบันทึกแสดงฐานะภริยานี้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพราะไม่มีใบสำคัญออกให้ แต่ถ้าคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียประสงค์จะได้หลักฐานการจดบันทึกในเวลาใดก็ให้ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอนั้นขอคัดสำเนา โดยเสียค่าธรรมเนียมฉบับละ 10 บาท หรือจะยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอท้องที่ใดก็ได้ขอให้สอบไปยังสำนักทะเบียนกลาง เพื่อให้สำนักทะเบียนกลางรับรองสำเนาส่งไปให้โดยเสียค่าธรรมเนียมฉบับละ 10 บาท หรือจะยื่นคำร้องขอสำเนาจากสำนักทะเบียนกลางโดยตรงก็ได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมฉบับละ 10 บาท

          การจดบันทึกแสดงฐานะภริยานี้ต้องกระทำด้วยกันทั้งสองฝ่ายและตามความเป็นจริงของฐานะภริยา สามีจะไปฝ่ายเดียวแล้วแจ้งความประสงค์ให้นายทะเบียนบันทึกชื่อภริยาคนนั้นเป็นภริยาเอก หรือชื่อคนนั้นเป็นอนุภริยาก็ไม่ได้ หรือภริยาจะไปยื่นคำร้องแต่ฝ่ายเดียวโดยที่สามีไม่ได้ไปด้วยก็ไม่ได้ หรือถ้าสามีถึงแก่กรรมแล้ว ภริยาจะขอให้จดทะเบียนแสดงฐานะภริยาแต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

          ในกรณีที่มีการคัดค้านเกิดขึ้น นายทะเบียนก็จะไม่รับจดทะเบียนให้ เว้นแต่จะได้ทำความตกลงยินยอมพร้อมใจกันทุกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายทะเบียนจึงจะรับบันทึกให้และในกรณีที่มีการร้องคัดค้านในรายที่นายทะเบียนอำเภอรับจดทะเบียนไว้แล้วก็ดี หรือยังมิได้จดบันทึกก็ดีให้ผู้มีส่วนได้เสียไปยื่นคำร้องต่อศาล เมื่อศาลสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร นายทะเบียนก็จะต้องปฏิบัติไปตามนั้น

          อนึ่ง การจดบันทึกฐานะของภริยา นายทะเบียนอำเภอจะรับจดบันทึกให้ได้เฉพาะบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น ส่วนคู่สามีภริยาที่เป็นคนต่างด้าวทั้งสองฝ่าย แม้จะอ้างว่าได้สมรสกันตามประเพณีของประเทศตนเองก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478 ก็ไม่สามารถที่จะบันทึกฐานะของภริยาให้ได้

7. ทะเบียนฐานะแห่งครอบครัว[13]                 

          การบันทึกฐานะแห่งครอบครัว ได้แก่ การใดๆ อันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัวของผู้มีสัญชาติไทยที่ได้ทำขึ้นในต่างประเทศ ตามแบบซึ่งกฎหมายแห่งประเทศที่ทำขึ้นได้บัญญัติไว้ ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งได้กระทำการอันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัว  และนำหลักฐานมาบันทึกให้ปรากฏในประเทศไทย เพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์ เมื่อเกิดมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมาย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์คือ

          1. ข้อความที่จะให้บันทึกจะต้องเป็นกิจการอันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัว

          2. กิจการนั้นได้กระทำไว้ในต่างประเทศตามแบบกฎหมายแห่งประเทศที่ทำขึ้นบัญญัติไว้

          3. ต้องเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีที่เป็นคนสัญชาติไทยด้วยกันหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนสัญชาติไทย และอีกฝ่ายเป็นคนสัญชาติอื่น

          4. ต้องนำเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการนั้น ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยและมีคำรับรองถูกต้องมาแสดงต่อนายทะเบียน

          ส่วนวิธีการร้องขอให้มีการบันทึกฐานะแห่งครอบครัวนั้น  เมื่อผู้มีส่วนได้เสียคนใดมาร้องขอให้บันทึกฐานะแห่งครอบครัวอย่างหนึ่งอย่างใด ต่อนายทะเบียน เป็นหน้าที่ของนายทะเบียนอำเภอที่จะเรียกเอกสารอันเป็นหลักฐาน โดยมีคำรับรองถูกต้องพร้อมกับคำแปลภาษาไทย ซึ่งผู้ร้องจะต้องนำมาด้วย โดยผู้ร้องขอให้บันทึกฐานะแห่งครอบครัวนั้นจะไปจดทะเบียน ณ สำนักทะเบียนใดก็ได้ สุดแต่ความสะดวกเมื่อนายทะเบียนอำเภอตรวจแล้วถูกต้อง ก็รับจดทะเบียนบันทึกฐานะแห่งครอบครัวให้ต่อไป

แบบพิมพ์การจดทะเบียนครอบครัว

          คร. 2 ทะเบียนสมรส

          คร. 3 ใบสำคัญการสมรส

          คร. 6 ทะเบียนหย่า                          

          คร. 7 ใบสำคัญการหย่า

          คร. 11 ทะเบียนรับรองบุตร

          คร. 14 ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม

          คร. 17 ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม

          คร. 20 ทะเบียนฐานะภริยา 

          คร. 22 ทะเบียนฐานะครอบครัว

          คร. 31 ใบบันทึกต่อ


[1] ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541 “ทะเบียนครอบครัว” ให้หมายความถึง ทะเบียนสมรส ทะเบียนการหย่า ทะเบียนรับรองบุตร ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนฐานะของภริยา และ ทะเบียนฐานะแห่งครอบครัว

[2] ข้อ 1. และ 2. ออกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2499) ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ส่วนข้อ 3. ออกตามกฎกระทรวงการต่างประเทศออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 โดยให้เป็นทะเบียนทั้ง 7 ประเภท ของนายทะเบียนครอบครัว

[3] การทดลองระบบการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนข้ามประเทศเป็นครั้งแรก ให้แก่คนไทยในต่างประเทศ ณ สถานกงสุลไทย เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ในปี 2555

[4] การจดทะเบียนสมรส/หย่าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไทย แต่กฎหมายสหราชอาณาจักรฯ เห็นว่าสถานเอกอัครราชทูตฯ ไม่สามารถทำหน้าที่สำนักทะเบียนได้ จึงอาจไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายสหราชอาณาจักรฯ หากต้องการให้การสมรสหรือหย่ามีผลตามกฎหมายสหราชอาณาจักรฯ ควรติดต่อขอจดทะเบียนต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นของสหราชอาณาจักรฯ หรือที่ว่าการเขต/อำเภอในประเทศไทย

[5] ที่มาของการจดทะเบียนหย่าต่างสำนักทะเบียนนั้นเกิดจากการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา และหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ มท 11031/2498 ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2498

[6] ในทางปฏิบัติหลังจากที่จดทะเบียนหย่าแล้วฝ่ายหญิงจะขอเปลี่ยนคำนำหน้านามจาก “นาง” เป็น “นางสาว” ตามพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 ซึ่งสามารถอ่านได้ในส่วนของการจดทะเบียนชื่อบุคคล

[7] มาตรา 1547 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

[8] ห้ามตอบว่าให้มีผลนับแต่วันสมรส ให้มีผลนับแต่วันจดทะเบียน หรือให้มีผลนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดนะครับเพราะแก้ไขแล้วตาม ปพพ. (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2551

[9] มาตรา 1559 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

[10] กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478

[11] พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ตามหนังสือ (ตามหนังสือที่ มท 0309.3/ว 1726 ลงวันที่ 24 มกราคม 2554)

[12] ข้อ 33. และ 34. ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541

[13] ข้อ 36. และ 37. ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541